tag:blogger.com,1999:blog-72378375072971155202024-02-06T21:19:48.246-08:00การปลูกดอกไม้Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/14220403153012788893noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-7237837507297115520.post-83555293898585423852013-02-02T00:37:00.001-08:002013-02-02T03:17:17.528-08:00การปลูกดอกมะลิ<h2>
<br /><div style="text-align: center;">
<b><span style="color: #cc0000;"> การปลูกดอกมะลิ</span></b></div>
</h2>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2_TM2E6zQKsc8_8ap_u5QU8TLr4NBUWVyKfVKEdPAHU-N4uUt_YspCM3WzZ5nq8B6Uhc89XUE1Axm6PQPgADaVpchqBFm612H2CHiTy8Bt1MsuLKB3aPhjPK_C2LHig3RmSHr5n0iinH3/s1600/a16_1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="224" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2_TM2E6zQKsc8_8ap_u5QU8TLr4NBUWVyKfVKEdPAHU-N4uUt_YspCM3WzZ5nq8B6Uhc89XUE1Axm6PQPgADaVpchqBFm612H2CHiTy8Bt1MsuLKB3aPhjPK_C2LHig3RmSHr5n0iinH3/s320/a16_1.jpg" width="320" /></a></div>
<blockquote class="tr_bq">
<br />
<h2>
<span style="color: #cc0000;"><span style="font-size: large;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif;">การปลูกมะลิ</span></b></span><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;"> </span></b></span></h2>
<b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 18pt; line-height: 27px;"> <span style="color: magenta;"> คน เราทุกวันนี้นิยมใช้ดอกมะลิกันมากในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการบูชาพระ การร้อยมาลัย การจัดพานพุ่มในงานพิธีต่างๆ โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ จะมีการใช้มะลิในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้น ดอกมะลิจึงถือเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกเป็นอย่างดี มะลิที่ปลูกเพื่อการขายในปัจจุบัน</span></span></b><span style="color: magenta;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 18pt; line-height: 27px;">เป็นพันธุ์ </span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 18pt; line-height: 27px;">“<b><span lang="TH">มะลิลา</span></b><span lang="TH">” ดอกสีขาวและค่อนข้างจะใหญ่ มีกลิ่นค่อนข้างแรง ตลาดมะลิยังไปได้ดี ไปได้ถึงต่างประเทศ ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ ทั้งในรูปของมะลิสด และมะลิที่แปรรูปเป็นพวงมาลัย พานพุ่ม ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ </span>70-80<span lang="TH">บาท ต่อ กิโลกรัม ในช่วง หน้าฝนดอกมะลิจะออกสู่ตลาดมาก ราคาอาจจะต่ำไปกว่านี้ ในช่วงหน้าหนาวมะลิจะออกดอกน้อย ราคาก็พุ่งสูงขึ้นถึงกิโลกรัมละ </span>400-600 <span lang="TH">บาท</span></span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 18pt; line-height: 27px;"> <span lang="TH"> มะลิ เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่เป็นดินเหนียว ดินร่วน ดินทราย ในพื้นที่ลุ่มน้ำที่มีน้ำท่วมในฤดูฝน เกษตรกรควรยกร่องให้สูงพ้นน้ำ หากพื้นที่ที่น้ำท่วมไม่ถึงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยกร่องสูง แต่ก็จะต้องยกร่องเพื่อการระบายน้ำได้ดี ก่อนนำมะลิลงปลูกเกษตรกรจะต้องมีการปรับปรุงดิน โดนเติมปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก</span> <span lang="TH"> และเสริมด้วยน้ำหมักชีวภาพ ระยะการปลูก หากปลูกชิดทรงพุ่มจะเล็ก ถ้าปลูกห่างทรงพุ่มจะใหญ่ ระยะที่พอเหมาะควรจะเป็น </span>1</span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 18pt; line-height: 27px; position: relative; top: 4pt;"> </span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 18pt; line-height: 27px;"> 2 <span lang="TH">เมตร คือ ระหว่างต้น </span>1<span lang="TH"> เมตร ระหว่างแถว </span>2<span lang="TH">เมตร พื้นที่ </span>1<span lang="TH"> ไร่ปลูกได้ </span>800<span lang="TH"> กอ มะลิเป็นพืชที่ต้องการน้ำค่อนข้างมาก หากมีการจัดระบบน้ำเป็นสปริงเกลอร์ จะเหมาะสมที่สุด</span></span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 18pt; line-height: 27px;"> <span lang="TH"> ภายหลังการปลูกประมาณ </span>6<span lang="TH"> เดือน มะลิจะเริ่มให้ผลผลิตแล้ว แต่จะยังมีปริมาณไม่มาก เมื่อมะลิออกดอก เกษตรกรจะต้องเก็บดอกเรื่อยๆ พยามอย่าให้ดอกค้างบนต้น เพราะถ้าดอกค้างอยู่ดอกใหม่จะไม่ค่อยสมบูรณ์ เป็นดอกเล็ก ภายหลังจากการเก็บดอกแล้วมะลิจะให้ดอกสม่ำเสมอ ต้องเก็บดอกทุกวัน เกษตรกรต้องวางแผนให้เหมาะสม จะปลูกในพื้นที่กี่ไร่ ใช้แรงงานเก็บเกี่ยวกี่คน หากระทำกันในครัวเรือน บนพื้นที่ </span>1-2<span lang="TH">ไร่ ก็เพียงพอแล้ว มะลิเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ก่อนปลูกต้องคำนึงถึงแหล่งน้ำ จะต้องเสริมด้วยปุ๋ยหมักน้ำทุก </span>7<span lang="TH"> วัน และให้ปุ๋ยแห้งทุก </span>15 <span lang="TH">วัน มะลิหากได้รับการดูแลดีๆ บนพื้นที่ </span>1<span lang="TH"> ไร่ สามารถเก็บเกี่ยวได้ถึง </span>10 <span lang="TH">กิโลกรัมต่อวัน หากราคากิโลกรัมละ </span>50 <span lang="TH">บาท ก็จะมีรายได้วันละ </span>500 <span lang="TH">บาท หากปลูก </span>2 <span lang="TH">ไร่ ก็มีรายได้วันละ </span>1,000 <span lang="TH">บาท</span></span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 18pt; line-height: 27px;"> <span lang="TH"> สภาพร่อง การปลูกมะลิจะต้องเป็นแบบหลังเต่า จะทำให้ระบายน้ำได้ดีในฤดูฝน ศัตรูที่ชอบกัดกินมะลิคือ เพลี้ยใบ และหนอนเจาะดอก เกษตรกรจะต้องป้องกันด้วยการฉีดสารสมุนไพรไล่แมลงเป็นระยะ ๆ โดยเฉาะช่วงหน้าร้อน การให้น้ำแบบสปริงเกลอร์จะช่วยป้องกันแมลงได้ หากเกษตรกรปล่อยน้ำตั้งแต่ตอนเย็นจนถึงพลบค่ำ เพราะแมลงจะออกหากินในตอนกลางคืนและวางไข่ตอนกลางคืน โดยเฉพาะตอนพลบค่ำ</span></span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 18pt; line-height: 27px;"> <span lang="TH"> มะลิมีอายุการให้ผลิตไม่จำกัดเวลา อยู่ที่การดูแล บางส่วนแค่ </span>4-5<span lang="TH"> ปีก็หมดสภาพแล้ว บางส่วนเก็บเกี่ยวได้ถึง </span>20 <span lang="TH">ปี เกษตรกรบางรายเก็บดอกมะลิแล้วนำมาร้อยเป็นมาลัยหน้ารถ วางขายริมทางก็สร้างรายได้เพิ่มมูลค่าได้ถึง </span>3<span lang="TH"> เท่าของราคามะลิดิบ ผู้ที่ประสงค์จะปลูกมะลิต้องหลีกเลี่ยงสารเคมีโดนเด็ดขาด เนื่องจากมะลิเป็นพืชที่ผู้บริโภคต้องการกลิ่น หากมสารเคมีเจือปนจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค การตัดแต่งกิ่งหรือการทำสาว ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่ทำให้ทรงพุ่มโปร่ง แสงแดดส่องได้โดยทั่วมีผลต่อการออกผลผลิต และช่วยขจัดโรครา เมื้อสิ้นฤดูกาลหนึ่งๆ เกษตรกรจะต้องคอยตรวจตราทรงพุ่ม ทำการตัดแต่งให้โปร่ง กิ่งใดที่แก่เกินไปต้องตัดทิ้ง <b>เพื่อให้กิ่งใหม่เกิดขึ้น มะลิเป็นพืชที่สร้างรายได้ให้แก่ผู้ปลูกทุกวัน ต้องการรายได้วันละ </b></span><b>500 <span lang="TH">บาท ต้องปลูกมะลิ </span>1<span lang="TH"> ไร่</span> <span lang="TH"> ต้องการรายได้วันละ </span>5,000 <span lang="TH">บาท ต้องปลูกมะลิ </span>10 <span lang="TH">ไร่ ต้องการรายได้วันละ</span>50,000 <span lang="TH">บาท ต้องปลูกมะลิ </span>100 <span lang="TH">ไร่ </span></b></span></span></blockquote>
<div>
<div class="MsoNormal" style="background-color: #f3f3f3; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 20px; margin: 0cm 0cm 0pt;">
<div style="line-height: 14px;">
<span style="color: yellow; font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 18pt; line-height: 27px;"></span></div>
<br />
<div style="color: #333333;">
อ้างอิง : <a href="http://anusorn911.blogspot.com/2010/11/blog-post_22.html">การปลูกมะลิ </a></div>
<div style="color: #333333; line-height: 14px;">
<br /></div>
</div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/14220403153012788893noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7237837507297115520.post-40130703693498121532013-02-02T00:26:00.000-08:002013-02-02T03:19:32.477-08:00การปลูกดอกกุหลาบ<h2>
<br /><div style="text-align: center;">
<b><span style="color: #0b5394;">การปลูกดอกกุหลาบ</span></b></div>
</h2>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjew_dC4K2NS2-Z0JxqCBRwFgrMhQ_BNXgCNNsX-z1tpCrDMg2F6fMpFvJ25CQc3sHkY3ofUpIiXBjcWxpMawhxp0FwgGS3ty0XtBJgMGT1JdfZ22fvQxft0_kGLF7sOAp6yBa9WGQY3Jva/s1600/427612_402395513179084_526517415_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjew_dC4K2NS2-Z0JxqCBRwFgrMhQ_BNXgCNNsX-z1tpCrDMg2F6fMpFvJ25CQc3sHkY3ofUpIiXBjcWxpMawhxp0FwgGS3ty0XtBJgMGT1JdfZ22fvQxft0_kGLF7sOAp6yBa9WGQY3Jva/s320/427612_402395513179084_526517415_n.jpg" width="320" /></a></div>
<span style="background-color: white; color: #222222; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;"><br /></span><span style="background-color: white; color: #222222; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;"><br /></span><span style="color: orange;"><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">การปลูกกุหลาบไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย เพียงแต่เราต้องใจเย็นนิดนึง รอเวลาว่าที่เหมาะสมเสียก่อนแล้วค่อยปลูก ไม่ใช่ว่าซื้อมาจากสวนสดๆ ร้อนๆ ก็เอาลงกระถางเลย รับรองว่าเสร็จทุกรายไป :) แรกๆ ผมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ทำอย่างนี้พอดอกหมด ต้นก็เตรียมตายได้เลย มาดูขั้นตอนกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา เวลาเป็นเงินเป็นทอง</span><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; font-weight: bold; line-height: 18px;">อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม</span></span><br />
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: orange;">ต้นกุหลาบที่ถูกเลือกมาเป็นอย่างดี อิอิ</span></li>
</ol>
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: orange;">ดินสำหรับปลูกกุหลาบโดยเฉพาะ อันนี้ไม่มีสูตรตายตัวนะครับ ถ้าเราไปถามตามร้านขายต้นไม้ เค้าก็มักจะตอบว่าใช้ได้หมดแหละซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย เรื่องดินเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ในการปลูกกุหลาบ แล้วจะเลือกยังไง ? เอาง่ายๆนะครับ เลือกดินที่หลังจากปลูกไปแล้วในอนาคตจะไม่กลายสภาพเป็นดินเหนียวก็แล้วกัน</span></li>
</ol>
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: orange;">กระถางดินเผาที่ควรมีความกว้างของปากกระถางอย่างน้อย 1 ฟุต เพราะกุหลาบเป็นพืชที่กินแร่ธาตุในดินมาก ทำให้สารอาหารในดินหมดเร็ว และเราก็จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนกระถางบ่อยๆ หากต้นโตขึ้น</span></li>
</ol>
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: orange;">ฟูราดาน สำหรับรองก้นกระถาง หรือหลุมถ้าปลูกลงดิน เพื่อป้องกันหนอนมากัดกินใบและดอก</span></li>
</ol>
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: orange;">ปุ๋ย ต่างๆ แล้วแต่ความชอบครับ เน่นให้เป็น บำรุงใบแล้วกัน เพราะถ้าใบดี ต้นก็จะแข็งแรง ดอกก็จะมาเองโดยไม่ต้องร้องขอ</span></li>
</ol>
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: orange;">ขลุยมะพร้ามป่นสำหรับคลุมบนผิวดินเพื่อรักษาความชุ่มชื้น อันนี้ต้องเอามาแช่น้ำทิ้งไว้ซัก 1 คืน ก่อนใช้นะครับ</span></li>
</ol>
<span style="background-color: #f3f3f3; color: #222222; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; font-weight: bold; line-height: 18px;">ขั้นตอนการปลูก</span><br />
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: magenta;">เมื่อเราซื้อต้นกุหลาบมาไม่ว่าจะพันธุ์อะไรก็ตาม ให้พักต้นไว้ประมาณ 7 วัน ตัดดอกที่ติดมากับต้นปักแจกันให้หมดทั้งตูมทั้งบาน อย่าเสียดาย (นับลงมาจากดอก 5 ใบ แล้วตัด) ก่อนเอาลงกระถางหรือเอาลงดิน ไม่ต้องใส่ปุ๋ยบำรุงใดๆ ทั้งสิ้นในช่วงนี้ เพียงแต่รดน้ำตอนเช้าทุกวันเท่านั้นพอ การรดน้ำต้นกุหลาบ ก็ควรรดที่โคนต้นเท่านั้นนะครับ ไม่ใช่ฉีดน้ำเป็นสายรดทั้งต้น เพราะจะทำให้ต้นกุหลาบเป็นโรคง่าย "อันนี้ต้องจำไว้เลยนะครับ ไม่จำเป็นอย่ารดน้ำให้โดนดอกหรือใบ"</span></li>
</ol>
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: magenta;">โดยภายใน 7 วันอันตรายนี้ ก็ให้ค่อยๆ ขยับต้นกุหลาบให้โดนแดนวันละนิด เช่น วันแรกให้วางต้นกุหลาบให้อยู่ในตำแหน่งที่โดนแดดประมาณ 1 ชั่วโมงพอ แล้วเพิ่มไปวันละชั่วโมง จนครับ 7 วัน ก็ประมาณ 6-8 ชั่วโมงพอดี</span></li>
</ol>
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: magenta;">หากไม่มีอะไรผิดพลาดจะเริ่มสั่งเกตเห็นว่ากุหลาบเริ่มแตกตาใหม่ๆ ออกมาใกล้กับบริเวณที่เราตัดดอกทิ้งในขั้นตอนที่ 1 แสดงว่าต้นแข็งแรงดี ถ้าไม่เป็นตามนี้ก็อาจจะมีอาการใบเหลือง ซึ่งแสดงว่าขาดน้ำ (รดน้ำไม่ชุ่มพอ)</span></li>
</ol>
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: magenta;">วันที่ 8 ถ้าพร้อมก็ปลูกได้เลย โดยให้เอาต้นกุหลาบออกจากถุงเพาะ หรือกระถางเดิมซึ่งใบเล็ก แล้วนำไปใส่กระถางใบใหม่ โดยใส่ดินรองที่ก้อนกระถางก่อนประมาณ 3 นิ้ว กดให้แน่น วางต้นกุหลาบลงไปพร้อมดินเดิมที่ติดต้นมา เทดินที่เหลือใส่ ค่อยๆ อัด เหลือพื้นที่ไว้คลุมขลุยมะพร้าวที่แช่น้ำไว้ด้วยด้ว</span></li>
</ol>
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: magenta;">ลองรดน้ำดู น้ำควรไหลผ่านชั้นดินลงไปได้ดี แต่ไม่เร็วเกินไป และไม่ช้าเกิน 10 นาที ถ้าเร็วเกินดินก็จะรักษาความชื้นไว้ไม่ดี แต่ถ้าช้าเกินก็จะทำให้รากเนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ :)</span></li>
</ol>
<ol style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 18px;">
<li style="margin: 0px 0px 0.25em; padding: 0px;"><span style="color: magenta;">กระถางกุหลาบควรถูกวางในตำแหน่งที่ได้รับแสงแดดวันละอย่างน้อย 6 ชั่วโมง</span></li>
</ol>
<div>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: x-small;"><span style="line-height: 18px;"><br /></span></span></div>
<div>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: x-small;"><span style="line-height: 18px;">อ้างอิง : <a href="http://rosesplanting.blogspot.com/2010/02/roses-planting_09.html">ขั้นตอนการปลูกกุหลาบ</a></span></span></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/14220403153012788893noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7237837507297115520.post-5977708996262735972013-02-02T00:14:00.001-08:002013-02-02T03:21:45.321-08:00การปลูกดอกกล้วยไม้<br />
<div style="text-align: center;">
<h2>
<b><span style="color: magenta;">การปลูกดอกกล้วยไม้</span></b></h2>
</div>
<br />
<div>
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFuVuWe_Ow1HVY-TKCMJ8JPtQru4gJFzmr-Wm4vkHwY77KPBEelHe0T6q38QNX3cl2sHh82XqKoz85Q1OmZ0lBBX9VUtg1qPxFhvswM0NvYB16Lo6X7Dcv_HpdP1eocaxw7XDgpM6R24T4/s1600/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFuVuWe_Ow1HVY-TKCMJ8JPtQru4gJFzmr-Wm4vkHwY77KPBEelHe0T6q38QNX3cl2sHh82XqKoz85Q1OmZ0lBBX9VUtg1qPxFhvswM0NvYB16Lo6X7Dcv_HpdP1eocaxw7XDgpM6R24T4/s320/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89.jpg" width="320" /></a></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b><span style="color: #0b5394;">การปลูกกล้วยไม้</span></b><br />
<span style="color: #0b5394;"> เนื่องจากในรอบปีแต่ละปีนั้น มีการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลตาม และความชุ่มชื้นก็ตาม อัตราการเจริญของกล้วยไม้ต่างๆในแต่ละฤดูกาล ก็มีความสอดคล้องกับบทบาทการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เช่นเดียวกันกับพันธุ์ไม้อื่นๆ ประเทศไทยตั้งอยู่ค่อนมาทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร (equator) ของโลก ซึ่งมีผล กำหนดลักษณะฤดูกาลไว้อย่างแน่ชัด การปลูกและการขยายพันธุ์ ไม้ควรยึดหลักปฏิบัติในระยะต้นๆของฤดูเจริญเติบโต เพื่อให้ กล้วยไม้ได้มีโอกาสตั้งตัวและเจริญแข็งแรงดี ก่อนถึงฤดูกาลที่กล้วยไม้จะต้องมีการเจริญช้าลง หรือบางชนิดก็พักตัว ฤดูเจริญ เติบโตของกล้วยไม้เริ่มต้นระหว่างปลายฤดูแล้งต่อต้นฤดูฝนหรือประมาณเดือนมีนาคม-มิถุนายนกล้วยไม้ที่อยู่ในสภาพซึ่งควรจะได้พิจารณาปลูกใหม่ ได้แก่ กล้วยไม้ที่มีอายุมากอยู่ในสภาพทรุดโทรม สมควรที่จะตัดแยก และปลูกใหม่ กล้วยไม้ที่แตกกอขนาดใหญ่มากเกินไป หรืออยู่ในสภาพที่ระบบรากหมดอายุ การตัดแยกปลูกใหม่จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงสมบูรณ์ให้แก่กล้วยไม้ได้ นอกจากนั้น การหาพันธุ์กล้วยไม้มาจากธรรมชาติเพื่อนำมาปลูก ก็ควรกระทำในฤดูนี้ด้วย ภาชนะปลูกอาจใช้กระถางดินเผา หรือกระเช้าไม้ แล้วแต่ความเหมาะสม หากเป็นกล้วยไม้ที่มีระบบรากอากาศคือ มีรากใหญ่และโปร่ง เช่น กล้วยไม้หลายชนิดที่ขึ้นอยู่ตาม ต้นไม้ในธรรมชาติ อาทิเช่น กล้วยไม้สกุลแวนดา เป็นต้น ควรใช้ภาชนะปลูกที่มีลักษณะโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก ส่วนเครื่องปลูกก็ควรยึดหลักการเช่นเดียวกันคือ ใช้เครื่องปลูกที่โปร่ง เช่น ถ่านไม้ เป็นต้น ในสมัยก่อนได้เคยมีผู้นิยมใช้รากเฟิร์นบางชนิด มีลักษณะเป็นเส้นสีดำเรียกกันว่า ออสมันดา(osmunda) เป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้กันอย่างแพร่หลาย ต่อมาออสมันดาหายากและมีราคาแพงยิ่งขึ้น จึงได้มีการสนใจใช้กาบมะพร้าวแห้งเป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้บางชนิด ต่อมาในภายหลังได้พิจารณาเห็นว่า การใช้ถ่านไม้นับเป็นวิธีการที่สะดวกกว่า จึงได้มีผู้นิยมมากขึ้นเป็นลำดับ แต่ก็มีผู้ซึ่งพยายามงดเว้นการใช้เครื่องปลูกใดๆทั้งสิ้น สำหรับกล้วยไม้ประเภทที่ มีรากอากาศ โดยให้รากเกาะอยู่ในภาชนะปลูกเท่านั้น ซึ่งก็ได้ผลเป็นที่พอใจ ทั้งจำเป็นต้องมีการปรับวิธีการเลี้ยงดูให้สอดคล้องกับสภาพดังกล่าว เช่น มีการให้น้ำและให้ปุ๋ยมากขึ้นกล้วยไม้เหมือนพันธุ์ไม้ที่พบทั่วๆไปทั้งหลาย ซึ่งมีความต้องการน้ำ ปุ๋ย และการเลี้ยงดูตามสมควร</span><br />
<span style="color: #0b5394;">การเลือกทำเลปลูกเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อตัดดอกขายนั้นควรใกล้แหล่งน้ำที่สะอาด pH ของน้ำประมาณ 5.2 มีสภาพอากาศดี การคมนาคมสะดวกเพื่อความรวดเร็วในการขนส่งดอกกล้วยไม้ ซึ่งเสียหายได้ง่าย การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ให้ได้ดอกที่มีคุณภาพดีนั้นนอกจากต้องมี การดูแลที่ดีมีการให้ปุ๋ย ฉีดยาป้องกันโรค และแมลงในระยะที่เหมาะสมแล้วยังจำเป็นต้องมีโรงเรือน</span><br />
<div>
<br />
<b><span style="color: lime;">วิธีการปลูก </span></b><br />
<span style="color: lime;">การล้างลูกกล้วยไม้ คือการล้างลูกกล้วยไม้จากการเพาะเนื้อเยื่อออกจากขวดเพาะแล้วล้างให้หมดเศษวุ้นอาหาร นำจุ่มลงในน้ำยานาตริฟินในอัตราส่วนน้ำยา 1 ส่วนต่อน้ำสะอาด 2,000 ส่วน แล้วนำไปผึ่งให้แห้งในที่ร่ม แยกลูกกล้วยไม้ออกเป็น 2 ขนาด คือ ขนาดเล็กกับขนาดใหญ่พอจะปลูกลงในกระถางนิ้ว </span><br />
<span style="color: lime;">การปลูกลูกกล้วยไม้ขนาดเล็ก ลูกกล้วยไม้ขนาดเล็กให้ปลูกในกระถางหมู่หรือกระถางดินเผาทรงสูงขนาด 4-6 นิ้ว รองก้นกระถางด้วยถ่านขนาดประมาณ 1 นิ้ว สูงจนเกือบถึงขอบล่างของกระถาง แล้วโรยทับด้วยออสมันด้าหนาประมาณ 1 นิ้ว ให้ระดับออสมันด้าต่ำกว่าขอบกระถางประมาณครึ่งนิ้ว ใช้มือข้างหนึ่งจับไม้กลมๆ เจาะผิวหน้าออสมันด้าในกระถางให้เป็นรูลึกและกว้างพอสมควร ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับปากคีบ คีบลูกกล้วยเบาๆ เอารากหย่อนลงไปในรูที่เจาะไว้ ให้ยอดตั้งตรง แล้วกลบออสมันด้าลงไปในรูให้ทับรากจนเรียบร้อย ควรจัดระยะห่างระหว่างต้นให้พอดี กระถางหมู่ขนาดปากกว้าง 4 นิ้ว ปลูกลูกกล้วยไม้ได้ประมาณ 40-50 ต้น </span><br />
<span style="color: lime;">การปลูกลูกกล้วยไม้ขนาดใหญ่ ลูกกล้วยไม้ที่ต้นใหญ่ให้ปลูกในกระถางขนาด 1 นิ้ว ใช้ไม้แข็งๆ ค่อยๆ แคะออสมันด้าในกระถางตามแนวตั้งออกมาใช้นิ้วมือรัดเส้นออสมันด้าให้คงเป็นรูปตามเดิม ค่อยๆ แบะออสมันด้าให้แผ่บนฝ่ามือ หยิบลูกกล้วยไม้มาวางทับ ให้โคนต้นอยู่ในระดับผิวหน้าตัดของออสมันด้าพอดี หรือต่ำกว่าเล็กน้อย แล้วรวบออสมันด้าเข้าด้วยกัน นำกลับไปใส่กระถางตามเดิม เสร็จแล้วนำเข้าไปเก็บไว้ในเรือนเลี้ยงลูกกล้วยไม้ สำหรับลูกกล้วยไม้ขนาดเล็กที่อยู่ในกระถางหมู่มาเป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือนขึ้นไป มีลำต้นใหญ่แข็งแรงพอสมควรแล้วควรย้ายไปปลูกลงในกระถางนิ้ว โดยนำกระถางหมู่ไปแช่น้ำประมาณ 10 นาที ค่อยๆ แกะรากที่จับกระถางและเครื่องปลูกออก แยกเป็นต้นๆ นำไปปลูกลงในกระถางนิ้วเช่นเดียวกัน </span></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<div>
อ้างอิง : <a href="https://sites.google.com/site/orchidbua/kar-pluk-dxk-klwymi">การปลูกดอกกล้วยไม้</a></div>
<div>
<br /></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/14220403153012788893noreply@blogger.com0